song

วันพุธที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

Picture





เเนวเพลง

แนวเพลง[แก้]

อัลบั้ม "Hybrid Theory" และ "Meteora" ทั้งคู่แป็นแนวเพลง อัลเทอร์เนทีฟเมทัล นูเมทัล และมีกลิ่นไอของป็อป ฮิปฮอป อัลเทอร์เนทีฟ และ อิเล็กทรอนิกาและเพิ่มโปรแกรมคอมพิวเตอร์แต่งเสียงและใช้เครื่องสังเคราะห์เสียงช่วยเพิ่มรูปแบบเสียงที่มีความแปลกใหม่และสนุกยิ่งขึ้น ทำให้เป็นแนวเพลงที่ไม่ซ้ำแบบใครและเป็นสไตล์เป็นตัวของตัวเองอีกด้วย
ในอัลบั้ม "Minutes to Midnight" ได้ทำการทดสอบซาวด์หลายรูปแบบและค้นหารูปแบบเสียงซาวด์เพลงแบบใหม่ๆและได้รับอิทธิพลจากผลงานเพลงของศิลปินวงส์ยูทู และในผลงานชิ้นนี้มีจังหวะเพลงส่วนใหญ่ที่เป็นเพลงแนวอัลเทอร์เนทีฟร๊อค มากกว่าที่จะเป็นแนวเพลงนูเมทัลและแร็ปร็อกและในผลงานชิ้นนี้เป็นอัลบั้มแรกที่มีจังหวะโซโลกีต้าซึ่งไม่เคยมีมาก่อนในอัลบั้มอื่นๆ
อัลบั้ม "A Thousand Suns" ได้คว้าตัว Rick Rubin (U2, Johnny Cash) มาทำหน้าที่เป็นโปรดิวเซอร์ร่วมกับ Mike Shinoda นักร้องนำ แนวเพลงในอัลบั้นนี้ได้ทำแนวเพลงที่ต่างไปจากอัลบั้มก่อนๆ เนื้อหาเพลงและจังหวะดนตรียังมีความเป็นนูลเมทัล และมีเนื้อหาด้านการเมืองอยู่ในเพลงนั้น

อัลบั้มวงตั้งเเต่เริ่ม

ช่วงแรกของวง (1996—1999)[แก้]

ไมค์ ชิโนดะ ได้ชมคอนเสิร์ตของวงแอนแทร็กซ์ (Anthrax) และ พับลิก อีเนมี่ (Public Enemy) ในช่วง พ.ศ. 2532 - 2533 และการแสดงในช่วงที่แฟนเพลงเรียกร้องให้ขึ้นเวทีอีกครั้ง หรือช่วงอังกอร์ของคอนเสิร์ตในครั้งนั้น ทั้ง 2 วง ลุกขึ้นมาแสดงดนตรีร่วมกันในบทเพลง บริงก์ ดา น้อยซ์ (Bring Da Noise) ซึ่งเป็นการจุดประกายให้ ไมค์ อยากทำงานเพลงในทิศทางนั้น วง nu metal
ลิงคินพาร์ก จึงเริ่มต้นจาก ไมค์ ชิโนดะ หนุ่มน้อยผู้คลั่งไคล้ในวัฒนธรรมดนตรีฮิปฮอป กับ แบรด เดลสัน (Brad Delson) มือกีตาร์สมัครเล่น ทั้ง 2 หนุ่มเป็นเพื่อนสนิทกันมาตั้งแต่สมัยเรียนอยู่เกรด 7 (ประมาณ 13 ปี ) โดยในช่วงแรก ไมค์ รับหน้าที่ทำบีทให้วงฮิปฮอป หลังจากนั้นจึงได้พบกับ ร็อบ บอร์ดอน (Rob Bourdon) มือกลอง ณ โรงเรียนใกล้ๆ ในแถบซาน เฟอร์นานโด แวลลีย์ (San Fernando Valley) ส่วน โจ ฮาห์น (Joseph Hahn) DJ ผู้รู้จักกับ ไมค์ ขณะศึกษาที่ อาร์ต เซ็นเตอร์ คอลเลจ (Art Center College) ใน พาซาดีนา (Pasadena Art school) ตามมาเป็นหนึ่งในสมาชิก และร่วมตั้งวงดนตรีชื่อ ซีโร่ (Xero) ใน พ.ศ. 2539 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเปิดการแสดงเล็กๆ สร้างความครื้นเครงและมันส์อย่างสุดๆ ในงานเลี้ยงสังสรรค์ที่บ้านเพื่อน
เมื่อ ซีโร่ มีโอกาสได้ไปแสดงดนตรีที่ วิสกี้ อะโกโก้ (Whisky A Go-Go ) คลับดังของแอลเอ และด้วยฝีมือการแสดงอันโดดเด่น จึงเป็นที่ถูกใจ เจฟฟ์ บลู (Jeff Blue) แห่ง ซอมบ้า มิวสิก พับลิชชิ่ง (Zomba Music Publishing) และได้เซ็นสัญญาในที่สุด ซึ่งนับเป็นเหตุการณ์สำคัญและผลักดันให้ ซีโร่ มีโอกาสในวงการดนตรีมากขึ้น เนื่องจาก เจฟฟ์ มีส่วนผลักดันให้ผลงานเพลงตัวอย่างของ ซีโร่ เป็นที่รู้จักของผู้คนในวงการเพลงมากขึ้น
ต่อมา ซีโร่ ได้เซ็นสัญญากับ วอร์เนอร์บราเธอร์ส (Warner Brothers) อย่างเป็นทางการ ภายหลังจากนั้นไม่นาน เจฟฟ์ ย้ายตามไปทำงานร่วมกันโดยดำรงตำแหน่ง เอ็กเซ็กคิวทีฟ โปรดิวเซอร์ (Executive Producer) ด้วย ขณะนั้น ซีโร่ ต้องการสมาชิกเพิ่มในตำแหน่ง นักร้องนำ เชสเตอร์ เบนนิงตัน (Chester Bennington: second vocal) หนุ่มจากอริโซน่าจึงเข้ามาเป็นสมาชิกคนต่อไปในฐานะนักร้องนำ โดย เชสเตอร์ ได้รับเทปตัวอย่างที่ ซีโร่ ทำขึ้นจากสตูดิโอเล็กๆ ในห้องนอนของไมค์
นอกจากนี้ทั้ง เชสเตอร์ และ ไมค์ รู้จักกันผ่านทางสำนักทนาย ไมเนียท เฟลพส์ แอนด์ เฟลพส์ (Miniet Phelps and Phelps) ที่ทั้งคู่ใช้บริการ เชสเตอร์สนใจที่จะร่วมงานกับ ซีโร่ มาก จนถึงกับแอบหนีงานเลี้ยงฉลองวันเกิดครบรอบ 23 ปีของตนไปอย่างหน้าตาเฉย เพื่อรีบไปบันทึกเสียงร้องของตนลงเทปตัวอย่างกลางดึก จากนั้นได้โทรศัพท์เปิดเทปตัวอย่างให้กับทางวงฟัง ซึ่งทุกคนชอบมาก จึงรับ เชสเตอร์ เป็นสมาชิกใหม่ทันที
จากนั้นสมาชิก ซีโร่ ทั้งหมดตกลงใจเปลี่ยนชื่อวงเป็น ไฮบริด ธีโอรี่ (Hybrid Theory) แต่บังเอิญไปซ้ำกับชื่อวงดนตรีของศิลปินกลุ่มอื่น จนในที่สุดจำต้องเปลี่ยนชื่อมาเป็นวง ลิงคินพาร์ค (Linkin Park) ซึ่งเป็นชื่อที่แผลงตัวสะกดมาจาก ลินคอล์น พาร์ค (Lincoln Park) ซึ่งมีที่มาที่ไปจากการมองการณ์ไกลไปถึงการสร้างเว็บไซต์ประจำวง เนื่องจากมีการจดทะเบียนซื้อขายชื่อโดเมน ลินคอล์นพาร์ค.คอม (lincolnpark.com) ไปเรียบร้อย ก่อนที่ทางวงจะไปขึ้นทะเบียนวงดนตรีของพวกตน และหากยังคงต้องการใช้ชื่อนั้น ก็ต้องเตรียมจ่ายเงินจำนวนมหาศาลแน่นอน
นอกจากนี้ในสหรัฐอเมริกามีสวนสาธารณะชื่อ ลินคอล์น พาร์ค (Lincoln Park) อยู่หลายแห่ง ดังนั้นหากไปเปิดการแสดงดนตรีที่ใดก็ตาม จะกลายเป็นเหมือนกับวงดนตรีท้องถิ่นทั่วไป ที่สำคัญคือทุกคนชอบชื่อ ลินคอล์น พาร์ค และยังเป็นสถานที่ที่ เชสเตอร์ ขับรถผ่านภายหลังจากซ้อมดนตรีเสร็จเป็นประจำ ลินคอล์น พาร์ค เป็นสถานที่แห่งหนึ่งของชนชั้นกลาง และ คนจรจัดของเมืองซานต้า โมนิก้า (Santa Monica)
ต่อมา ลิงคินพาร์ค ได้ร่วมงานกับ โปรดิวเซอร์ชื่อดังอย่าง ดอน กิลมอร์ (Don Gilmore) ผู้เคยร่วมงานกับศิลปินชื่อดังมาแล้วมากมาย ไม่ว่าจะเป็น เพิร์ล แจม (Pearl Jam ) , เอเพ็กซ์ ธีโอรี่ (Apex Theory) , ชูการ์ เรย์ (Sugar Ray)

Hybrid Theory (2000)[แก้]


สัญลักษณ์ของวงในสมัย Hybrid Theory จนถึงก่อน Minutes to Midnight
ในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2543 ออกผลงานชุดแรกของ ลิงคินพาร์ค จะใช้ชื่ออะไรไปไม่ได้นอกจากชื่อที่ยังคาใจทุกคนอยู่ นั่นก็คือ "ไฮบริด ธีโอรี่" [Hybrid Theory] ทุกคนยอมรับว่าคือ วลีที่สรุปจุดมุ่งหมายของวงได้ดีที่สุด และต้องมีการใสวงเล็บเพิ่มลงไปด้วย
"ไฮบริด ธีโอรี่" ของวงดนตรีหน้าใหม่วงนี้ ประกอบไปด้วยบทเพลงเยี่ยมยอดมากมาย ที่สามารถทะยานเข้าสู่ ท็อป 20 ของบิลบอร์ด (Billboard Top 20) ได้สัปดาห์แรก บทเพลง วัน สเต็ป โคลสเซอร์ (One Step Closer) โดนใจนักจัดรายการวิทยุทั่วโลกไปเต็มๆ รวมทั้ง ครอวลิ่งก์ (Crawling) และ อิน ดิ เอ็นด์ (In the End)
ช่วงนั้น แบรด (Brad) จบระดับไฮสกูล และเข้าศึกษาต่อที่ ยูซีแอลเอ (UCLA) และเป็นเพื่อนร่วมห้องกับ ฟีนิกซ์ (Pheonix) สมาชิกรุ่นก่อตั้งวงในประมาณปี พ.ศ. 2544 จึงชักชวนให้กลับเข้าร่วมงานด้วยกันอีกครั้ง ในฐานะสมาชิกคนที่ 6 ของ ลิงคินพาร์ค (แต่ในปกผลงานชุด ไฮบริด ธีโอรี่ ลงเครดิตเพียงแค่ 5 คน เท่านั้น)
ลิงคินพาร์ค ได้รับรางวัล The favor of MTV's pop-oriented TRL crowd และภายในปี 2544 ออกแสดงทัวร์คอนเสิร์ตทั้งสิ้น 324 คอนเสิร์ต รวมไปถึง การแสดงในเทศกาลดนตรี แฟมิลี่ แวลูส์ (Family Values) อ็อซเฟสท์ (Ozzfest) และ โปรเจกต์ รีโวลูชั่น (Projekt Revolution) ถูกเสนอชื่อเข้าชิง รางวัลแกรมมี่ 3 รางวัล ในสาขาผลงานเพลงร็อกยอดเยี่ยม (Best Rock Album) ศิลปินหน้าใหม่ยอดเยี่ยม (Best New Artist) และ การแสดงดนตรีฮาร์ดร็อกยอดเยี่ยม (Best Hard Rock Performance) และคว้า รางวัลสาขาการแสดงดนตรีฮาร์ดร็อกยอดเยี่ยม (Best Hard Rock Performance) ประจำปี 2544 อีกทั้งยังสร้าง สถิติยอดจำหน่ายสูงสุดแห่งปี 2543 ต่อมา พ.ศ. 254 5 "ไฮบริด ธีโอรี่" ทำสถิติยอดจำหน่ายแพล็ทตินั่มกว่า 8 ล้านแผ่น และ สร้างยอดจำหน่ายสูงสุดอันดับ 5 ประจำปี 2545 อีกด้วย
กรกฎาคม พ.ศ. 2545 ออกผลงานรีมิกซ์ชุดต่อมา "รีแอนิเมชัน" (Reanimation)

Meteora (2003)[แก้]

อัลบั้มนี้ใช้เวลานานถึง 18 เดือน ในการเขียนและบันทึกผลงานเต็มชุดที่ 2 ที่ประสบความสำเร็จภายใต้ชื่อ "เมทีโอร่า" (Meteora) ที่โปรดิวซ์โดย ดอน กิลมัวร์ (Don Gilmore) มิกซ์เสียงโดย แอนดี้ วอลเลซ (Andy Wallace) ผู้เคยฝากผลงานไว้กับ แอท เดอะ ไดรฟ์ อิน (At The Drive-In) , ดิสเทิร์บท์ (Disturbed) , ฟูไฟเตอร์ส (Foo Fighters) , คอร์น (Korn) , ลิมพ์ บิซคิท (Limp Bizkit) , เนอร์วานา (Nirvana) , เรจ อเกนสท์ เดอะ แมชชีน (Rage Against The Machine) และ ซิสเต็ม ออฟ ดาวน์ (System of a Down)
อัลบั้ม Meteora ขายได้ 800,000 copies ใน 1 อาทิตย์. ในอัลบั้ม ประกอบด้วย ซิงเกิล "Somewhere I Belong", "Breaking the Habit", "Faint", and "Numb" เมื่อใกล้ขายได้ 3 ล้าน copies ลิงคินพาร์คจึงจัด "Project Revolution" หรือเทศกาลดนตรีของ ลิงคินพาร์ค
ลิงคินพาร์ค ยอมรับว่า ได้รับอิทธิพลดนตรีมาจาก เดฟโทนส์ (Deftones) , ไนน์ อินช์ เนลส์ (Nine Inch Nails) , เอเฟ็กซ์ ทวิน (Aphex Twin) และ เดอะ รูทส์ (The Roots)

Side projects (2004—2006)[แก้]

หลังจากที่ประสบความสำเร็จกับ อัลบั้ม "Hybrid Theory" และ "Meteora" เชสเตอร์ได้ร่วมงานกับวงอื่น เช่น "Dead by Sunrise" ส่วนไมค์ได้ร่วมงานกับ Depeche Mode. ในปี 2004 วงลิงคินพาร์ค ทำอัลบั้ม "Collision Course" ที่นำเพลงจากอัลบั้มเก่า ร่วมกับ "Jay-Z"

Minutes to Midnight (2007)[แก้]

ในปี 2006 ลิงคินพาร์คได้กลับเข้าสตูดิโออีกครั้ง และเปลี่ยนแนวเพลง
อัลบั้ม "Minutes to Midnight" ออกวางขาย วันที่ 15 พฤษภาคม 2007 ชื่ออัลบั้มนั้นได้แนวคิดมาจากนาฬิกาโลกาวินาศซึ่งมาจากนักวิทยาศาสตร์ของมหาวิทยาลัยชิคาโก หลังจากสหรัฐฯ ทิ้งระเบิดปรมาณูใส่ญี่ปุ่นก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 จะสิ้นสุดลง อัลบั้มชุดนี้เป็นร่วมกันโปรดิวซ์ระหว่างโปรดิวเซอร์ที่ดังที่สุดแห่งยุค และเจ้าของรางวัล Producer of The Year คนล่าสุดจากเวทีแกรมมี่อย่าง ริค รูบิน และ ไมค์ ชิโนดะ เอ็มซีและมันสมองของลิงคินพาร์ค

สัญลักษณ์ของวงตั้งแต่สมัย Minutes to Midnight จนถึงปัจจุบัน

A Thousand Suns (2010)[แก้]

วันที่ 18 พฤษภาคม 2009 ออกซิงเกิลใหม่ ในชื่อ "New Divide" เพลงประกอบหนัง "Transformers: Revenge of the Fallen".
วันที่ 19 มการคม 2010 วงลิงคินพาร์ค ออกซิงเกิลใหม่ ในชื่อ "Not Alone" เพื่อองค์กร "Music For Relief" ในการช่วยเหลือผู้ประสบภัยแผ่นดินไหวใน เฮติ. วันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2010 ลิงคินพาร์คออกมิวสิกวิดีโอของเพลง "Not Alone" ที่หน้าแรกของเว็บ ลิงคิน พาร์ค
วงลิงคินพาร์ค ออกเกม "8-Bit Rebellion" ในวันที่ 26 เมษายน 2010 สำหรับ iPod , iPhone และ iPad. ภายในเกมประกอบด้วย เพลง "Blackbirds" จะถูกปลดล็อกเมื่อผู้เล่น เล่นเกมจบ
วันที่ 6 มิถุนายน 2010 ลิงคินพาร์คเปิดเผยว่าอัลบั้มใหม่ใกล้เสร็จแล้ว. มีการกำหนดการจัดคอนเสิร์ต ครั้งแรกของปี 2010 ที่เยอรมัน
วันที่ 8 กรกฎาคม 2010 วงลิงคินพาร์ค ประกาศกำหนดวันออก อัลบั้ม "A Thousand Suns" อย่างเป็นทางการ ในวันที่ 14 กันยายน 2010. นอกจากนั้น วงลิงคินพาร์ค ประกาศชื่อเพลง และ กำหนดวันออกซิงเกิลแรก ในวันที่ 2 สิงหาคม 2010 เพลง "The Catalyst"

Living Things (2012)

แนวเพลง[แก้]

อัลบั้ม "Hybrid Theory" และ "Meteora" ทั้งคู่แป็นแนวเพลง อัลเทอร์เนทีฟเมทัล นูเมทัล และมีกลิ่นไอของป็อป ฮิปฮอป อัลเทอร์เนทีฟ และ อิเล็กทรอนิกาและเพิ่มโปรแกรมคอมพิวเตอร์แต่งเสียงและใช้เครื่องสังเคราะห์เสียงช่วยเพิ่มรูปแบบเสียงที่มีความแปลกใหม่และสนุกยิ่งขึ้น ทำให้เป็นแนวเพลงที่ไม่ซ้ำแบบใครและเป็นสไตล์เป็นตัวของตัวเองอีกด้วย
ในอัลบั้ม "Minutes to Midnight" ได้ทำการทดสอบซาวด์หลายรูปแบบและค้นหารูปแบบเสียงซาวด์เพลงแบบใหม่ๆและได้รับอิทธิพลจากผลงานเพลงของศิลปินวงส์ยูทู และในผลงานชิ้นนี้มีจังหวะเพลงส่วนใหญ่ที่เป็นเพลงแนวอัลเทอร์เนทีฟร๊อค มากกว่าที่จะเป็นแนวเพลงนูเมทัลและแร็ปร็อกและในผลงานชิ้นนี้เป็นอัลบั้มแรกที่มีจังหวะโซโลกีต้าซึ่งไม่เคยมีมาก่อนในอัลบั้มอื่นๆ
อัลบั้ม "A Thousand Suns" ได้คว้าตัว Rick Rubin (U2, Johnny Cash) มาทำหน้าที่เป็นโปรดิวเซอร์ร่วมกับ Mike Shinoda นักร้องนำ แนวเพลงในอัลบั้นนี้ได้ทำแนวเพลงที่ต่างไปจากอัลบั้มก่อนๆ เนื้อหาเพลงและจังหวะดนตรียังมีความเป็นนูลเมทัล และมีเนื้อหาด้านการเมืองอยู่ในเพลงนั้น

ประวัติสมาชิกวง


1. Chester Bennington (ร้องนำ)
หรือ Chazy Chaz
เกิดวันที่ 20 มีนาคม 1976
เกิดที่ ฟีนิกซ์ ในอะริโซน่า
คุณ พ่อเคยเป็นตำรวจ แม่เป็นพยาบาลคุณพ่อ-คุณแม่ของ เชสเตอร์ หย่ากันตั้งแต่เขาอายุ 11 ขวบ คุณพ่อเคยเป็นตำรวจ ส่วนคุณแม่เป็นพยาบาล เขามีน้องสาวคนละแม่ 2 คน กับ น้องชายคนละพ่อชื่อ ไบรอัน และ มีภรรยาชื่อ ซาแมนธา เบนนิงตัน มีบุตรชาย ชื่อว่า เดวิด เซบาสเตียน เบนนิงตัน
การศึกษา กรีนเวย์ ไฮสคูล, วอชิงตัน ไฮสคูล
รอยสัก รอยสักเพียบ แต่ที่น่ารักคือรอยสัก ที่มือขวา เป็นรูปแหวนหมั้น รูปเดียวกันกับของ ซาแมนธา เป๊ะ เชสเตอร์ บอกว่าเงินไม่พอซื้อ แหวนหมั้น เลยสักแทนแหวนจริง ที่เหมือนกับ ซาแมนธา อีกรอย คือรูปมังกรที่น่อง แต่ของ ซาแมนธา อยู่ที่แผ่นหลังด้านล่าง
เคยอยู่วง Grey Daze เพลงที่ร้องก็งั้นๆ ไม่ค่อยถูกใจเท่าตอนอยู่ LP
แร็พเปอร์ที่ชอบ The Roots, Black Eyed Peas, Jurassic 5, Pharoahe Monch, ฯลฯ
อุปกรณ์ที่ใช้ ไมค์ไร้สาย Audio Technica, Yamaha SPX 990, กีตาร์
Takameme guitars, DVS/Matix action figure steelo BIATCH!
ปัจจุบันอยู่ แอลเอ
รู้รึเปล่า เชสเตอร์ บอกว่าเริ่มทำเพลง ตั้งแต่อายุ 16 (แต่ว่าเริ่มฮัมเพลง ของวง Foreigner ตั้งแต่ อายุแค่ 2 ขวบ) 

แต่ที่เชสเตอร์ ติดกัญชา แล้วโดนจับ มันเป็นเรื่องจิงกันอะป่าว?



2. Mike Kenji Shinoda (ร้องนำ, กีต้าร์)
เกิดวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 1977
การศึกษา ไมค์ จบเอก illustration จาก อาร์ต เซ็นเตอร์ คอลเลจ ใน พาซาดีนา 
งานกราฟฟิคบนเว็บไซต์ ของวงรวมทั้งบนปกอัลบั้ม เขามีเอี่ยวด้วยทั้งนั้น
อุปกรณ์ที่ใช้ บนเวที ไมค์ไร้สาย Audio Technica, กีตาร์ PRS, Mesa Boogie
Dual Rectifier heads, Mesa Boogie cabinets แต่ถ้าในสตูดิโอ ใช้ซอฟต์แวร์กับฮาร์ดแวร์ของ Digidesign Pro Tools, ซอฟต์แวร์ของ Anteres กับ Waves, ฮาร์ดแวร์ของ Emagic, Roland keyboard modules, AKAI S-900 กับ แซมเปลอร์ MPC 2000
งานไซด์ไลน์ ไมค์ เป็นผู้จัดการวงให้ Taproot



3. Rob Bourdon (กลอง)
เกิดวันที่ 20 มกราคม 1979
เกิดที่ คาลาบาซาส ใน คาลิฟอร์เนีย
อุปกรณ์ที่ใช้ ชุดกลอง GMS, ไม้กลอง Vater, Zildjian cymbals, Remo heads, Rane headphone amp, Alesis DM-5 drum module, Shure E-1 in-ear monitors กับ D-drum trigger pads



4. Brad Delson (กีต้าร์)
ชื่อเล่น Big Bad Brad
เกิดวันที่ 1 ธันวาคม 1977
เกิดที่ อากระผมลา 
อุปกรณ์ที่ใช้ กีตาร์ Ibanez กับ PRS, Mesa Boogie Dual Rectifier heads,
Mesa Boogie cabinets, สายกีตาร์ D'Addario(10XL), เพดัล เอฟเฟ็กต์ Boss, D'Addario cables, ปิ๊ก Dunlop (.83), ไมค์ไร้สาย Shure
รู้รึเปล่า แบรด ปลื้ม บริทนีย์ สเปียร์ส อันนี้ ไมค์ ยืนยันว่าเรื่องจริง



5. Phoenix (เบส)
ชื่อจริง เดวิด ไมเคิล ฟาร์เรล , ดาล์ฟ ฟินิกซ์ ฟาร์เรล 
เกิดวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 1977
เกิดที่ มิชชัน วิเอโจ
อุปกรณ์ที่ใช้ Ernie Ball Music Man Sting Ray basses, SWR SM900
Heads, SWR cabinets, Dean Markley Blue Steel strings,
Dunlop Picks (.88), DBX 160 compressor, Monster cables,
Sans Amp, เพดัล Boss, Whirlwind direct boxes, ไมค์ไร้สาย Shure
อาหารที่ชอบ - ก็ อาหาร แม็กซิกัน อะนะ



6. Joseph Hahn (Turn Table)
เกิดวันที่ 15 มีนาคม 1977
เกิดที่ เกลนเดล ใน คาลิฟอร์เนีย
อุปกรณ์ที่ใช้ เทิร์นเทเบิ้ลแบบมอตอร์, ดีเจ มิกเซอร์ Rane TTM 54, AKAI
MPC 2000, Emagic Logic Audio กับ เข็มแผ่นเสียง Shure M44-7
รู้รึเปล่า โจ บอกว่าเขาเป็นมนุษย์ที่มี split personality ชื่อ เรมี่ (เชื่อดีมั้ยเนี่ย)

credit : http://writer.dek-d.com/cheazyben/story/view.php?id=174401#ixzz13N9BeziA

ประวัติวง linkin park

ความเป็นมาของวง Linkin park

                       วง Linkin Park ก่อตั้งขึ้นเมื่อ5-6ปีที่แล้ว
            ซึ่งเกิดมาจากการรวมตัวกันเล่นในหมู่เพื่อนๆซึ่งเล่นกันในเวลาที่ว่าง
            ซึ่งมี Mike กับ Brad เพื่อนซี้สองคนที่เป็นคนริเริ่ม
            ในตอนแรกวงใช้ชื่อว่า Xero และต่อมา Mike
            ได้ไปเจอมือกลองรุ่นน้องคนหนึ่งซึ่งมีฝีมือเก่ง มีชื่อว่า Rob
            เขาจึงชักชวนให้มาเป็นมือกลองของวง ซึ่ง Rob ก็ตกลงโดยดี
            หลังจากที่จบการศึกษาที่Agoura High School Mike ได้ไปศึกษาต่อที่ The
            Pasadena Art College of Design
            และได้ไปเจอหนุ่มเกาหลีคุยสนุกคนหนึ่งที่ชื่อว่า Joe ซึ่งเอาดีทางดีเจ
            ซึ่ง Mike ก็ได้ชักชวนให้เขาเข้าร่วมวงด้วย ส่วน Bradได้ไปศึกษาที่
            UCLA และได้ไปเป็นเพื่อนร่วมห้องกับ Phoenix ( Dave ) นักกีฬา
            แต่หัวใจรักเสียงเพลง ซึ่งเล่นเบสได้ดีมากอย่างไม่น่าเชื่อ
            เขาจึงชักชวน Phoenix ให้เข้ามาร่วมวงอีกคน และได้นักร้องนำคือ Mark
            Wakefied ซึ่งเป็นเพื่อนร่วมก๊วนกับคนในวง
            ซึ่งวงก็พัฒนาเรื่อยๆไปอย่างช้าๆ และใช้ชื่อวงว่า Hybrid Theory ต่อมา
            Mark ได้ลาออกไป ทำให้วงต้องหานักร้องนำคนใหม่
            โดยการส่งเดโมเทปไปให้เพื่อนๆ และส่งไปทั่วประเทศ มา ณ ที่ Phoenix,
            Arizona ซึ่งChester กับ Samantha ภรรยาของเขา
            เพิ่งซื้อบ้านที่นั่นได้ไม่นาน
            ก็ได้รับเทปนี้จากเพื่อนคนหนึ่งของเขาเช่นกัน และChester
            สนใจในเทปนี้มาก เขาจึงโทรศัพท์ไปหาวงในคืนนั้น
            และร้องเพลงให้ทุกคนฟังผ่านโทรศัพท์พร้อมกับเล่นเทปเดโมไปด้วย
            ซึ่งทุกคนทึ่งและถูกใจในน้ำเสียงของเขามาก ขนาดขอร้องให้ Chester
            ช่วยบินมาที่ California ซึ่ง Chester ก็บินมาในคืนนั้นเอง




            หลังจากที่ได้ Chester มาร่วมวง พวกเขาก็เริ่มบันทึกเสียงกันทันที
            ซึ่งได้ EP ออกมา และใช้สื่อ internet เป็นตัวแนะนำพวกเขา
            ทำให้เริ่มมีทีมตามถนนเรียกว่า Street Team
            และกลุ่มแฟนเพลงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ซึ่ง Street team
            ได้อุทิศตัวเพื่อโปรโมทวงได้อย่างดีมาก จนกระทั่งวงเริ่มดังขึ้น จน
            Streetwise Concepts and Culture ได้ฟังเพลงของหนุ่ม ๆ
            และชื่นชอบจนช่วยทำการโฆษณาให้ ทำให้ Hybrid Theory
            เป็นวงที่ผู้คนสนใจเป็นอย่างมาก หลังจากนั้น พวกหนุ่ม
            ๆได้ไปแสดงที่ผับThe Whiskey ที่ LA จนเป็นที่โดดเด่นเข้าตาWarner
            Bros. และได้เซ็นสัญญากันในที่สุด แต่มีวงที่ใช้ชื่อว่า Hybrid Theory
            เสียแล้ว ทำให้ต้องเปลี่ยนชื่อเป็น Linkin Park
            ซึ่งใช้ชื่อนี้เพราะLincoln Park ที่ Santa Monica หลังจากนั้น
            พวกหนุ่ม ๆก็ได้เริ่มออกทัวร์ไปกับคอนเสิร์ตใหญ่ หลายๆที่
            และต่อมาก็ออกทัวร์ของตัวเองไปทั่วประเทศ
            ซึ่งได้รับเสียงตอบรับอย่างมาก ในเดือนตุลาคม CD แผ่นแรก
            ฮิตติดชาร์ทและ Linkin Park ประสบความสำเร็จอย่างไม่หยุดยั้ง

            นอกเหนือจากผลงานที่ดีแล้ว Linkin Park
            ยังเป็นวงที่ให้ความสำคัญกับแฟนเพลงมาก ทุกๆครั้งหลังแสดงจบ
            พวกเขามักจะลงมาหากลุ่มแฟนเพลง
            เพื่อมาจับมือและแจกลายเซ็นต์ให้กับทุกคน ให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้
            มีบ่อยที่หนุ่ม ๆ จะยืนแจกลายเซ็นต์จนลานคอนเสิร์ตว่างเปล่า
            และทุกๆคนได้รับลายเซ็นต์ครบหมด